หน่วยการเรียนรู้ที่7


การสร้างศักยภาพครู

   

        ความหมายของศักยภาพ    

 หมายถึง ความสามารถสูงสุดที่เป็นไปได้ของบุคคลนั้นถ้าหากบุคคลนั้นได้รับการบำรุงส่งเสริมอย่างเต็มที่และถูกทางทั้งทางกายและทางจิต

        ดังนั้น ความสามารถที่เรามีอยู่ในขณะนี้จึงยังไม่ใช่ศักยภาพของเรา เราจึงต้อง "พัฒนาความสามารถ" หรือ "พัฒนาสมรรถนะ" เพื่อที่จะเข้าไปใกล้ศักยภาพของเรา ไม่ใช่ "พัฒนาศักยภาพ" เพราะแม้แต่ในคนที่เก่งมาก ๆ เราก็ยังไม่ทราบว่าเขาไปได้ถึงครึ่งศักยภาพของตัวเขาเองแล้วหรือยัง เนื่องจากยังไม่มีใครสร้างเครื่องมือวัดศักยภาพ (ความสามารถสูงสุดที่ยังไม่เกิดขึ้น) ของมนุษย์ได้ แค่วัดความสามารถที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ ก็ยังไม่ทราบว่าผลที่วัดได้นั้นตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ เรื่องที่จะไปขยายหรือพัฒนาศักยภาพจึงยังไม่ต้องพูดถึงดังนั้น จึงควรใช้คำว่า "พัฒนาความสามารถ" หรือ "พัฒนาสมรรถภาพ" หรือ "พัฒนาสมรรถนะ" ให้เต็มศักยภาพ 



                  

           ความหมายของสมรรถภาพ

ความสามารถของบุคคลในการควบคุมและสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับปริมาณงานและเวลา โดยการปฏิบัติภารกิจนั้น ไม่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถประกอบกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภารกิจประจำวันได้อีก ด้วยความกระฉับกระเฉง ปราศจากอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย
ที่มา:www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id


  คุณภาพของครูไทย


การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องเผชิญกับสภาวะการแข่งขันสูงและต้องเร่งพัฒนาคนของตนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเพื่อให้สามารถรับมือกับสิ่งท้าทายดังกล่าวได้ ดังจะเห็นได้จากการที่ที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาของอาเซียนเมื่อเดือนสิงหาคม 2548 ได้ออกถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ถึงความจำเป็นของอาเซียนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของภูมิภาค และสร้างอาเซียนให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากโลกาภิวัตน์อย่างเท่าเทียม (ASEAN. 2005. online)
         
          ด้วยเหตุนี้นานาประเทศรวมทั้งประเทศไทยจึงต้องเร่งปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ     การเรียนการสอนซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการหล่อหลอมเยาชนให้เติบโตขึ้นเป็นแรงงานที่มีศักยภาพ  ทั้งนี้ปัจจัยหลักประการหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษาคือการพัฒนาคุณภาพครูซึ่งเป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนให้การปฏิรูปข้างต้นประสบความสำเร็จ ( Reimers, 2003:12)   โดย ดร.รุ่ง แก้วแดง มีความเห็นสอดคล้องกันว่าถ้าครูมีความรู้ ความสามารถ เสียสละ และตั้งใจสอนสั่งผู้เรียนอย่างเต็มความสามารถ จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กไทยเติบโตขึ้นเป็นพลเมืองดี เก่ง ฉลาด มีศักยภาพ มีความสุขและสามารถแข่งขันกับทุกประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (รุ่ง แก้วแดง. 2544: 134)

            อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับนานาประเทศแล้วจะพบว่าการจัดการศึกษาของไทยใช้งบประมาณสูงกว่ามากแต่ผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับกลับด้อยกว่าทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ  ดังจะเห็นได้จากผลการประเมินความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติของ IMD (International Institute for Management Development) ได้จัดให้การศึกษาของไทยมีคุณภาพอยู่ในลำดับที่ 46 จาก 60 ประเทศ (โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย. 2550:7) รวมถึงการจัดดัชนีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประจำปี 2549 ไทยอยู่ในลำดับที่ 74 จากทั้งหมด 109 ประเทศ (สำนักงานดูแลนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา. 2550: ออนไลน์)  และที่สำคัญผลสรุปของการประเมินคุณภาพสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รอบแรก พ.ศ. 2544-2548) จำนวน 30,010 แห่ง ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) พบว่ามีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพียงร้อยละ 34 เท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ สมศ. โดยพบว่านักเรียนไทยยังขาดความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบและทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตรการศึกษา รวมถึงขาดทักษะในการทำงานและเจตคติที่ดีต่ออาชีพที่สุจริต (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา. 2549: ออนไลน์) ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของภาคแรงงานไทย ในอนาคต




ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าปัญหาคุณภาพของการศึกษาและคุณภาพของผู้เรียนขึ้นอยู่กับคุณภาพของครูเป็นสำคัญเพราะครูเป็นผู้นำแนวคิดหรือนโยบายทางการศึกษาไปสู่ระดับปฏิบัติในห้องเรียน (ชมพูนุท ร่วมชาติ. 2548: 1)  ซึ่งหากพิจารณาในภาพรวมจะพบว่าปัจจุบันครูไทยมีปัญหาหลักในสามด้านคือเรื่องคุณภาพในการจัดการเรียนการสอน  การมีหนี้สินล้นพ้นตัว รวมถึงภาวะการขาดแคลนครูสะสมโดยเฉพาะในสาขาที่สำคัญ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2545::53)  โดยมีสรุปสาระสำคัญของประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไขของภาครัฐ ดังนี้
               1) ปัญหาด้านคุณภาพของครู ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการประสบความสำเร็จอย่างสูงในการนำคนเก่ง คนดี มีความรู้เข้าสู่วิชาชีพครู โดยได้คัดเลือกจากนักเรียนที่เก่งที่สุดของแต่ละจังหวัดให้เข้ารับทุนเพื่อเรียนต่อด้านการฝึกหัดครู ดังนั้นครูในยุคนั้นจึงเป็นคนเก่งของประเทศ และมักประสบความสำเร็จทั้งในด้านการพัฒนานักเรียนและชีวิตส่วนตัว ต่อมาเมื่อประเทศไทยมีความต้องการครูสูงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเร่งผลิตครูมากขึ้นเป็นเงาตามตัวโดยปราศจากการวางแผนที่เหมาะสม  สถาบันฝึกหัดครูทุกแห่งต่างเปิดสอนในภาคพิเศษและภาคสมทบอย่างแพร่หลาย   ด้วยเหตุนี้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาสาขาครูจึงมีจำนวนมากเกินความต้องการของตลาดแรงงานส่งผลให้ตกงานในที่สุด (รุ่ง แก้วแดง. 2544.:131) นอกจากนี้ครูดังกล่าวยังมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน โดยผลจากการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาของ สมศ. ยังพบว่ามีครูถึงร้อยละ 66 ไม่มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กในชนบท (สมศ. 2549: ออนไลน์)
          ดร.เลขา ปิยะอัจริยะ ผู้ทรงคุณวุฒิของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาครูไม่มีคุณภาพว่ามิได้เกิดจากระบบไม่ดี หากเกิดจากการที่ครูขาดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ไม่มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเอง รวมถึงยังขาดการจัดการความรู้ที่ดีและมิได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ระหว่างกัน โดยความรู้ในหลักสูตรและในหนังสือที่ประมวลมาสอนเด็กคิดเป็นเพียงร้อยละ 20 ของความรู้ทั้งหมด แต่ความรู้ส่วนใหญ่หรืออีกร้อยละ 80 กลับถูกละเลยได้แก่ความรู้ของครูที่เกษียณอายุไปเพราะที่จริงแล้วครูเหล่านี้มีความรู้และมีประสบการณ์ที่ฝังลึก กระทรวงศึกษาธิการจึงควรนำครูดังกล่าวมาถอดแบบความรู้เพื่อที่คนทั้งสองรุ่นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จร่วมกันและนำไปต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มแก่เยาชนในอนาคต (เลขา   ปิยะอัจฉริยะ. 2550: ออนไลน์)

      สำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพของครูในปัจจุบันของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการดังนี้
           1.1การปฏิรูปการผลิตครูและสถาบันผลิตครู โดยกำหนดนโยบายการผลิตครูให้ชัดเจนด้วยการจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา (2547-2556) และการผลิตครูแนวใหม่หลักสูตร 5 ปี ใน 8 สาขา โดยนักเรียนที่เข้าศึกษาต้องมีผลการเรียนเฉลี่ย 2.75 และผลการเรียนในวิชาเอก 3.00 ขึ้นไป ซึ่งเป็นการคัดสรรตัวป้อนที่ดีเข้าสู่กระบวนการผลิตครู โดยเริ่มรุ่นแรกในปี 2547


                     ส่วนการปฏิรูปสถาบันผลิตครูตามโครงการพัฒนาบุคลากรเพื่อการปฏิรูปการศึกษา รัฐบาลได้อนุมัติเงินจำนวน 179.5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคุณภาพอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏใน     รูปของทุนศึกษาต่อระดับปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ  รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับความเป็นเลิศทางครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ และการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานและประกันคุณภาพสถาบันฝึกหัดครู 

1.2การพัฒนาและส่งเสริมครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา โดยจัดตั้ง
สถาบันพัฒนาและส่งเสริมครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา และการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนาครู ฯ  รวมถึงการยกย่องครู ฯ ที่มีผลงานดีเด่น
                 1.3 การพัฒนามาตรฐานวิชาชีพ และการควบคุมการประกอบวิชาชีพ ได้แก่การจัดตั้งองค์กรวิชาชีพครูคือคุรุสภาและคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ในพ.ศ.2546  นอกจากนี้ยังได้กำหนดมาตรฐานวิชาชีพครูที่มี       3 องค์ประกอบคือมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และมาตรฐานการปฏิบัติตน (จรรยาบรรณของวิชาชีพ)  รวมถึงได้ส่งเสริม และยกย่องผู้ประกอบวิชาชีพครู และการควบคุมการประกอบวิชาชีพครู (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2550: 3-61 - 3-90)

    2) ปัญหาหนี้สินครู ปัจจุบันมีครูมากกว่า 130,000 คน อยู่ในสภาพมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยเฉลี่ยมีหนี้คนละ 1.1 ล้านบาท นับเป็นเหตุให้ครูขาดขวัญกำลังใจในการทำงาน  มีคุณภาพชีวิตลดลง และต้องทำงานเพื่อหารายได้เสริม ครูจึงอุทิศตนต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนการสอนของผู้เรียนลดลง (วรากรณ์ สามโกเศศ . 2550: ออนไลน์) ทั้งนี้จากการเปิดเผยของโครงการติดตามสภาวะการณ์ครูรายจังหวัด (Teacher Watch) พบว่า        5 จังหวัดแรกที่มีครูเป็นหนี้นอกระบบมากที่สุดคือมหาสารคาม มีครูเป็นหนี้นอกระบบถึงร้อยละ 60  มุกดาหารร้อยละ 58  สตูลร้อยละ 57.14  ยโสธรร้อยละ 53.93 และร้อยเอ็ดร้อยละ 53.10 (อมรวิชช์ นาครทรรพ. 2550: ออนไลน์)
          สำหรับแนวทางในการเยียวยาเรื่องหนี้สินครู กระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมมือกับธนาคาร    
ออมสินอนุมัติเงินกู้จำนวนทั้งหมด 8 พันล้านบาทเพื่อดูแลครูที่มีปัญหาวิกฤติจริงๆ และได้กำหนด    แนวทางการแก้ปัญหาเพิ่มเติมดังนี้ การเปิดคลีนิคทางการเงินเพื่อให้คำแนะนำเรื่องการออมเงินและการปรับสภาพหนี้ เปิดศูนย์ฮอตไลน์ 1579 เพื่อให้บริการคำแนะนำเรื่องปัญหาหนี้สินของครู จัดโครงการสัมมนาแก่ครูทั่วประเทศเพื่อให้ความรู้ และจัดทำคู่มือเกี่ยวกับคำถาม-ตอบในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น (วรากรณ์    สามโกเศศ. 2550: ออนไลน์)





   3. ปัญหาการขาดแคลนครูสะสม  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้สำรวจภาวะการขาดแคลนครูในสังกัดตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกค) เมื่อต้นปี 2550 พบว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศยังขาดแคลนครูประมาณ 70,000 คน (สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี. 2550: ออนไลน์) ทั้งนี้มีสาเหตุจากหลายประการอาทิการผลิตและบรรจุครูไม่สัมพันธ์กัน (กล่าวคือขาดครูในสาขาที่สำคัญได้แก่วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ แต่ในสาขาอื่นมีบัณฑิตครูเกินความต้องการ) นโยบายของรัฐในการจำกัดกำลังคนภาครัฐและการคืนอัตรากำลังทดแทนขาดดุลยภาพ การจัดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด การกำหนดเกณฑ์การคืนอัตรากำลังของสำนักงานข้าราชการครู ฯ กับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและกำลังคนภาครัฐไม่ตรงกัน รวมถึงนโยบายการเกลี่ยอัตรากำลังครูไม่ได้ผล ฯลฯ ปัญหาดังกล่าวทำให้ครูที่เหลือต้องทำงานหนัก มีเวลาในการเตรียมการสอนและถ่ายทอดความรู้ไม่เพียงพอ และบางครั้งถึงกับทำให้ครูไม่มีโอกาสเข้ารับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำลง อย่างเห็นได้ชัด (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. .2548:31)

             สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดแคลนครูคือ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำโครงการครูสหกิจ โดยให้นักศึกษาครูในหลักสูตร 5 ปี ไปฝึกสอนในโรงเรียนที่ขาดครูโดยมอบค่าเบี้ยเลี้ยงตอบแทน  ทั้งนี้โครงการครูสหกิจมีระยะเวลา 3 ปี (ปี 2551-2553) และได้จัดเตรียมงบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ศึกษานิเทศก์ นิสิตและนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการซึ่งคาดว่ามีจำนวน 5,000 คน  นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ครูที่สอนไม่ตรงคุณวุฒิได้เข้ารับการอบรมด้านการศึกษาเพิ่มเติม มีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอนในโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่โดยพัฒนาการสอนในชั้นเรียนขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมนำสื่อเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ (โดยจัดการอบรมครูก่อนดำเนินการ) เช่น e-learning และ multi media และกำหนดนโยบายรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่เกิน  120 คน เข้าด้วยกันพื่อให้มีครูครบ 8 สาระการเรียนรู้ รวมถึงประหยัดครูและงบประมาณด้วย    (สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี. 2550: ออนไลน์)       

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจะพบว่าปัญหาที่สำคัญที่จำเป็นต้อง
ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือปัญหาเรื่องคุณภาพของครูผู้สอน เนื่องจากส่งผลกระทบถึงนักเรียนโดยตร  ทั้งนี้จากการศึกษาของอเล็ตตา บัวแมน ไนท์ (Knight, Arletta Buaman. 2006: online) พบว่าครูที่มีความสามารถจะต้องมีองค์ประกอบสามส่วน ได้แก่ความรู้ความสามารถในรายวิชาที่สอน ความเอื้ออาทรต่อผู้เรียน และความกระตือรือล้นในการปฏิบัติงาน โดยมีรายละเอียดดังนี้



            
ความรู้ความสามารถ
ความเอื้อาทรต่อผู้เรียน
ความกระตือรือล้นในการปฏิบัติงาน
1.อธิบายเรื่อยากให้เข้าใจ
  ได้ง่าย
1)ไม่ทำให้ผู้เรียนรู้สึกอับอาย
ในห้องเรียน
1)กระตือรือล้นในการสอน
2.มีทักษะในการจัดชั้นเรียนที่ดี
2)รักษาคำพูด
2)เป็นคนน่าสนใจ
3)ตอบคำถามของนักเรียนได้ชัดเจน และมีข้อมูลอ้างอิง
3)ปฏิบัติต่อนักเรียนอย่าง
เท่าเทียมกัน
3)สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้ดี
4) ทำในสิ่งที่สอนได้
4)มีความยืดหยุ่น
4)ใช้วิธีการสอนอย่างหลากหลาย

     ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะของ อเล็ตตา บัวแมน ไนท์ สอดคล้องกับผลการวิจัยของชมพูนุท ร่วมชาติ (ชมพูนุม ร่วมชาติ. 2548: บทคัดย่อ) ที่พบว่าลักษณะของครูที่พึงประสงค์ในอนาคตประกอบด้วยองค์ประกอบใน 4 ด้านคือ 1)ความรู้อย่างลึกซึ้งในสาขาที่สอนอย่างน้อย 2 วิชา และความรู้ในวิชาชีพครู      2)ทักษะเฉพาะในแต่ละสาขาวิชา 3) คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณและบุคลิกภาพของความเป็นครู      4) การมีส่วนร่วมและการพัฒนาชุมชนในท้องถิ่น ในขณะที่หลักสูตรวิชาชีพครูในอนาคตควรมีทางเลือกอย่างหลากหลาย โดยมีสาระดังนี้ 1) การศึกษาและอัตลักษณ์ของครูไทย 2) ธรรมชาติของผู้เรียนและการเรียนรู้ 3) หลักสูตรและการจัดกระบวนการเรียนรู้ 4) นวัตรกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ 5) ความรู้ด้านการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School – based Research)
     ในขณะที่ผลของการศึกษาวิจัยของสมชาย บุญศิริเภสัช พบว่าพลังความสามารถในการทำงานของครูมีความสัมพันธ์กับความมุ่งหวัง ความรู้ ทักษะประสบการณ์  และอำนาจหน้าที่ของครู ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่าปัจจัยพื้นฐานของครู ในขณะที่กระบวนการเสริมสร้างอำนาจ (ความสามารถ) ในการทำงานของครู ประกอบด้วยการทำงานอย่างมีอิสระ การมีส่วนร่วมในการทำงาน รวมถึงกระบวนการประเมินผลตัวเอง  และความพร้อมรับการตรวจสอบ ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มอำนาจในการทำงานของครูได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (สมชาย บุญศิริเภสัช. 2545: บทคัดย่อ)  ดังนั้น              หากกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้นำผลจากการศึกษาวิจัยข้างต้นไปประกอบการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบแล้วจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของครูได้เป็นอย่างดี และจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ของนักเรียนในที่สุด

ปัญหาของครูผู้สอนนับเป็นประเด็นเร่งด่วนที่อยู่ในขั้นวิกฤติซึ่งภาครัฐและทุกภาคส่วนต้องประสานพลังในการแก้ไขและต้องดำเนินการอย่างจริงจัง รอบคอบ และต่อเนื่อง ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ มาตรการ   และแนวทางในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดต้องพิจารณาในลักษณะองค์รวมตั้งแต่สถานภาพครู ทิศทางการผลิตครูในอนาคต รวมถึงการประกันคุณภาพของครูเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าครูจะมีศักยภาพเอย่างพียงพอในการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิรูปการศึกษาไปสู่เยาวชนของชาติตามเป้าหมายของรัฐบาลได้อย่างแท้จริง
 ที่มา:https://mameawmewmew.wikispaces.com/.../ปัญหาครู-ปรับปรุง-8+ต


    การพัฒนาศักยภาพและสมรรถภาพความเป็นครู

              การส่งเสริมพัฒนาครูให้แสดงความสามารถสูงสุดอันเป็นคุณสมบัติที่แฝงอยู่ในตัวให้ ปรากฏออกมาเป็นที่ประจักษ์แก่นักเรียนและต่อสังคม ความส าคัญของวิชาชีพครู ครู คือ บุคคลที่สั่งสอนอบรมวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนั้นแล้วครูจะต้องคอย ดูแลเอาใจใส่ต่อสุขทุกข์ของศิษย์ ความ เจริญก้าวหน้าของศิษย์และคอยปกป้องมิให้ศิษย์ กระท าความชั่วต่างๆอีกด้วย นอกจากนั้นครูเป็นบุคคลที่มี
ความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติ อย่างยิ่งเพราะ ครูเป็นทั้งผู้สร้าง และผู้ก าหนดอนาคตของเยาวชน สังคมและประเทศชาติให้ พัฒนาไปในทิศทางที่ต้องการและถูกต้อง
ที่มา:http://www.kruinter.com/file/29420140904120822-[kruinter.com].pdf





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น